วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีใช้งาน และเพิ่ม EA ใน MT4


ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex

การเพิ่ม EA ให้ทำตามภาพประกอบเลยครับ

การทำกำไรจาก EA อาจจะไม่ได้กำไรเสมอไปนะครับทั้งนี้ทั้งนันก็ขึ้นอยู่กับการบริหารของเราเอง
รู้ช่วงเวลารู้จังหวะเปิดปิดถึงจะทำกำไรจาก EA ได้ครับ






วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทรด forex กับ EXNESS

ขั้นตอนการสมัครเปิดบัญชีซื้อขาย (เทรด forex) กับ EXNESS

1. คลิกที่ลิงค์สมัครด้านล่าง สมัครต่อจาก Admin เพื่อรับโบนัสคืนเงิน Rebate สูงสุดถึง 60% ต่อบัญชี

เปิดบัญชีเทรด Forex Exness เปิดบัญชีทันที

2. คลิกเปิดบัญชีการซื้อขาย ตามรูปภาพประกอบ


3. เลือกเปิดบัญชีเทรด Forex ขอแนะนำ 2 แบบคือ แบบ Cent (ไม่มีโบนัสการฝาก) และ Mini (มีโบนัสการฝากทุกครั้ง) ตามรูปภาพประกอบ


4. กรอกรายละเอียดต่างๆ ต้องเป็นข้อมูลจริง ตามรูปภาพและคำบรรยาย


5. ใส่รหัสตัวอักษรเพื่อยืนยันการเปิดบัญชีเทรด Forex ที่ได้จากอีเมล์ และเบอร์โทรศัพท์ ตามรูปภาพประกอบ


6. เลือกตั้งค่าความปลอดภัยให้กับบัญชีเทรด Forex ของเรา ใช้สำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ ในการฝาก - ถอนเงิน เข้าสู่บัญชีเทรด Forex แนะนำให้เลือก แบบที่ 2 ความปลอดภัยปานกลาง เพราะรหัสทุกรหัสที่ Exness จะถูกส่งเข้าเบอร์โทรศัพท์ตามเบอร์ที่เรากรอกไว้ตอนสมัครเปิดบัญชี


7. สร้างรหัสผ่านเพื่อใช้ในการเข้าสู่ MT4 ในการเทรด Forex


8. เลือกรับโบนัสพิเศษสำหรับเฉพาะผู้เปิดบัญชีเทรด Forex แบบ Mini เท่านั้น


9. เป็นอันเสร็จสิ้นการเปิดบัญชีเทรด ซื้อขาย Forex กับ Exness สำเร็จ


10. Exness จะส่งข้อมูลเอกสารจำนวน 2 ฉบับเข้าสู่อีเมล์ของเรา ตามภาพประกอบด้านล่าง



[ แก้ไขล่าสุดโดยAdmin-Nonเมื่อ2013-5-12 14:28 ]

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การใช้งาน MT4 เบื้องต้น

การใช้งาน MT4 เบื้องต้น

MT4 หรือ Metatrader 4 เป็นโปรแกรมที่นักเทรดนิยมใช้มาก และโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็ใช้ MT4 เป็นหลักเนื่องจากว่ามีฟัก์ชันการทำงานค่อนข้างมาครับ ไม่ว่าจะเป็น EA (expert Advisor) ซึ่งเป็น สคริปต์ที่มีไว้ในการเทรดแบบ ออโต้เทรด โดยที่เราไม่ต้องนั่งเล่นเองเป็นต้น และยังสามารถเพิ่มอินเคเตอร์เข้ามาได้อีกจากการไปหาโหลดตามที่ต่าง ๆ หรือถ้าใครเก่ง ๆ หน่อยก็เขียนอินดิเคเตอร์มาใช้เองได้ครับ  ถ้าจะเทรดกับโบรกเกอร์ไหนให้ไปโหลดโปรแกรมจากหน้าเวปของโบรกเกอรนั้นมาใช้นะ ครับ เพราะโบรกเกอร์แต่ละตัวก็ใช้ MT4 คนละตัวกันเหมือนกันแต่ว่าลักษณะหน้าตาจะเหมือนกัน ตัวอย่างที่ผมนำมาให้ต่อไปนี้คือ Metatrader 4 พื้นฐาน
ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า 
ใครที่ยังไม่มีโปรแกรมกดโหลดเลยครับ  Download Here
พอโหลดมาเสร็จแล้วก็ กด Install โปรแกรมกด next ไปเรื่อยๆจนเสร็จครับ
พอเปิดโปรแกรมขึ้นมามันจะ ให้เรากรอกข้อมูลสำหรับ Demo Account ครับกรอกไป ติ๊ก ถูกในเครื่องหมายกด next เรื่อยๆ จนมันเร็จก็เรียบร้อยครับ
 
แต่เวลาเปิด Real Account  ไม่จำเป็นต้องกรอกตรงนี้ครับปิดหน้าต่างไปแล้วไปที่ Menu File --> Login
(Real Account คือ Accountจริงที่สมัครกับโบรกเกอร์นะครับ)
พอเสร็จแล้วจะได้หน้าตาประมานนี้ครับแต่อาจไม่เหมือนศะทีเดียวเพราะว่าอันนี้ผมปรับกราฟไปเยอะแล้ว

เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าจุดไหนไว้ทำอะไรบ้างอาจต้องเพ่งดูในบางจุดขออภัยมา ณที่นี้ครับ อิอิ
1. อันนี้จะเป็นส่วนของกราฟครับ
2. อันนี้จะเป้นส่วนเกี่ยวกับการจัดการโปรแกรม
      - Account บอกว่าเราใช้ Account อะไรอยู่มีชื่อเราด้วย
      - Indicator มีอินดิเคเตอรืมาตรฐานต่างๆ ในนี้วิธีการเพิ่มอินดิเคเตอร์ลงในกราฟ ทำได้โดยการลากวางครับ
      - Expert Advisor เป้นคล้ายอินดิเคเตอรื แต่เราไม่ต้องเทรดเอง คล้ายๆ กับบอทอะครับ เปิดทิ้งไว้เลย
      - Custom Indicator อินดิเคเตอร์ที่เราหามาเอง สามารถนำไปไว้ใน Directory ที่ลง MT4 ใน folder expert-->indicatorsครับ
      - Script ไม่แน่ใจอะ แต่ไม่เคยใช้อะ
3. ในส่วนนี้เป้นราคาของ Forexครับ หรือ Marketwatch อะแหละ ปรับเพิ่มลดได้ครับส่วนนี้
4. จะเป็นหน้าต่างที่ไว้ดู position การเทรดModifu ปรับแต่ง stop loss หรือ ตั้ง Target ได้โดยคลิ๊กขวาที่ position ที่ต้องการ แล้วคลิ๊ก Modify Position  แล้วก็มีประวัิติการเทรด ข่าว จดหมายต่าง ๆ ด้วยในส่วนี้ครับ
5. ตรงนี้เอาไว้เปิด order  buy/sell โดยไปที่กราฟที่ตัวต้องการซื้อขายแล้วกดตงนี้ หรือคลิ๊กขวาที่กราฟตัวที่จะทำการซื้อขายแล้ว new orderได้ครับ กดF9ก็ได้เหมือนกัน ดดนหน้าต่างจะมีให้เลือก lot size take profit(target) stop loss ได้ครับ แล้วเลือว่าจะ buy หรือ sell ส่วน lot ใครไม่เข้าใจกลับไปอ่านที่ หัวข้อ leverage
 6. Time Frame ปรับเวลากราฟครับ
7.  เส้นต่างๆ ทั้งแนวตั้งแนวนอน และ Trend line กด แล้วนำไปลากในกราฟครับ
8.   Fibonacchi ใครใช้ก็อยู่ตรงนี้นะครับบอกไว้ก่อนเดี๋ยวหาไม่เจอ หุหุ
9.  เพิ่มกราฟใหม่ได้ตรงนี้ครับ
10. เปลี่ยนรูปแบกราฟว่าจะให้เป็นแบบ เส้น แท่งเทียน หรือ บาร์
มาดูเรื่อง Leverage กันต่อครับ
Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ครับ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

แต่ไม่ต้องห่วง นะครับ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ครับ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะครับ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกครับ

คิด คร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ครับ)

นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10%

และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท

หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ครับ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน

ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันครับ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5

เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็หรูแล้วครับ)

ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ผมเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่ผมหลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ผมตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่ผมเทรด

ที่ FxOpen ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เองครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา

Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะครับ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ

อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นครับ...

Leverage ที่มากขึ้น ทำให้ใช้ margin น้อยลงครับ เช่น

หากเราสั่งเทรด 1 Lot (บน mt4 จะมีค่าเท่ากับการเทรด Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva)

หากใช้ Leverage 1:100 จะใช้ margin = $1,000 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:200 จะใช้ margin = $500 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:500 จะใช้ margin = $200 โดย 1 pip จะมีค่า = $10

สังเกต นะครับ ผมสั่งเทรดจำนวนเท่ากัน คือ 1 Lot (หรือ Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva ซึ่ง) และ 1 pip นั้น ไม่ว่าจะใช้ Leverage เท่าไหร่ จะมีค่าเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ margin ที่ใช้ลดลง

ข้อดีของ Leverage ที่มากขึ้น คือการได้ใช้ margin ลดลง อาจะทำให้ถือลบ ได้นานอีกหน่อย (ถ้าจะถือจนลบหมดตัว)

แต่ ข้อเสียคือ ถ้ามองถึงการใช้ margin และยังคงดูเรื่อง fund management ที่เราพยายามเทรดไม่เกิน 10% ของทุน การที่ Leverage มากขึ้น เช่น เพิ่มจาก 1:100 ไปเป็น 1:200 แล้วเรายังคงเทรดโดยใช้ margin 10% สิ่งที่จะแตกต่างกันคือ (ถ้าทุน $10,000 เทรด โดยใช้ margin $1,000)

1:100 ต้องสั่งเทรด 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $10 ซึ่งถ้า -900 จุด จะโดน cut loss

แต่

1:200 ต้องสั่งเทรด 2 Lot (หรือ 200,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $20 ซึ่งถ้า -450 จุด จะโดน cut loss
(จริงๆ marketiva สั่งได้มากสุดแค่ 100,000 แต่ e-mail ขอ support เพิ่มเป็น 200,000 ได้)

ซึ่ง ถ้าจะใช้ให้ถูก ถึงเราจะเลือก 1:200 เราก็ควรจะเทรดที่ 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เหมือนเดิม เพื่อที่จะใช้ margin ลดลงเหลือ $500 ซึ่ง 1 pip จะยังคง = $10 และจะโดน cut loss เมื่อ -950 จุด (ยืดมาได้ 50 จุด จากที่ใช้ 1:100 ที่ลบได้แค่ 900 จุด)

ป.ล. marketiva เราไม่สามารถเลือก Leverage ได้ครับ ต้องใช้ 1:100 ครับ - สำหรับโบรกอื่น จะเป็นโปรแกรมเทรดที่เรียกว่า mt4 (เช่น FxOpen, FxClearing และ LiteForex) สามารถเลือก Leverage ได้

ตารางเวลาเปิด-ปิดตลาด ของแต่ละโซน

ตารางเวลาเปิด-ปิดตลาด ของแต่ละโซน

ตารางเวลาเปิด-ปิดตลาด ของแต่ละโซน

ตลาด ของแต่ละโซนจะเปิด-ปิด คาบเกี่ยวกันตลอดทั้งวัน ทำให้เราสามารถเทรดได้ 24 ช.ม. แต่ช่วงที่เหมาะแก่การเทรดคือช่วง ตลาดยูโร (EUR) เปิด ถึง หลังตลาดอเมริกา (USD) เปิด 4-5 ชม. คือแถบสีแดงด้านบน ประมาณเวลา 13.00 - 24.00 ตามเวลาไทย ปกติจะเป็นช่วงที่ตลาดผันผวน ราคามีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าช่วงอื่น

ขั้นตอนและวิธีการเทรดในตลาด Forex
ในตลาด Forex จะต่างจากหุ้น ตรงที่ เราจะดูกันเป็น “คู่” ครับ ยกตัวอย่างเช่น EUR/USD คือการเปรียบเทียบระหว่างเงินยูโร กับเงินดอลล่าห์ ค่าเงินด้านซ้ายเราเรียกว่า base currency โดยเรามักจะเห็นราคา ซื้อ-ขาย อย่างนี้ครับ EUR/USD bid= 1.3500 offer= 1.3502

โบรกเกอร์จะทำเงิน จากเราจากส่วนต่างของ bid-offer ดังนั้น ทุกครั้งที่เราเปิดการเทรด เราจะติดลบก่อนเสมอ ซึ่งจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับส่วนต่าง bid-offer นี้ (แต่ละคู่ของค่าเงินจะไม่เท่ากัน เช่นที่ Maketiva คู่ EUR/USD จะต่างกัน 2 หรืออย่าง GBP/JPY ต่างกัน 7 (ที่ FxOpen แบบ micro จะมากกว่า Marketiva อยู่ +1 แต่ standard จะเท่ากัน))

เช่น ณ เวลาที่เราเข้า Buy คู่ EUR/USD อยู่ที่ 1.3502 (ที่ราคา offer) ถ้าเราปิด (close) ทันที เราจะ sell คืนไปที่ 1.3500 (ที่ราคา bid) เท่ากับเราขาดทุน 0.0002 หรือ 2 จุด (หรือ pip)

ถ้าเราสั่ง ซื้อ (เรียกว่า Buy หรือ Long) ในตอนที่เราเปิด order (เปิด order BUY) เราจะได้ราคาที่ offer และเมื่อเราสั่งปิด order นี้ เราจะได้ราคาที่ bid – การ buy คือการที่เราซื้อมาถือไว้ เพื่อรออัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น และเราจะปิด order นี้ โดยการ sell คืน (การสั่ง close order จะเป็นการ sell อัตโนมัติครับ – ไม่ใช่ให้เราเปิด order sell อีกอัน) ไปในราคาที่สูงกว่า (ถ้า sell คืนในราคาต่ำกว่า เราก็ขาดทุน) เรียกว่า ซื้อถูก ขายแพง

ข้อดีอีกข้อของตลาด Forex คือ เราสามารถเทรดขาลงได้ด้วย
เมื่อ เราสั่ง ขาย (เรียกว่า Sell หรือ Short) ในตอนที่เราเปิด order (เปิด order SELL) เราจะได้ราคาที่ bid และเมื่อเราสั่งปิด order นี้ เราจะได้ราคาที่ offer – การ Sell คือการที่เราสั่งโบรกให้ขายออกไปก่อน เพื่อรออัตราแลกเปลี่ยนตกลงมา และเราจะปิด order นี้ โดยการ Buy คืน (การสั่ง close order จะเป็นการ buy อัตโนมัติครับ – ไม่ใช่ให้เราเปิด order buy อีกอัน) ไปในราคาที่ต่ำกว่า (ถ้า Buy คืนในราคาสูงกว่า เราก็ขาดทุน) เรียกว่า ขายแพง แล้วซื้อถูก

แต่จะเห็นว่า เราดู จุด หรือ pip กันที่ ทศนิยมตำแหน่งที่ 4 (หรือตำแหน่งที่ 2 ในบางคู่) เราลองมาดู EUR/USD กัน สมมุติว่า เราพิจารณาแล้ว เราเห็นว่า EUR น่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD (คือ EUR จะแลก USD ได้มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป) เราจึงทำการเข้า buy โดยที่เราได้ราคา ที่ 1.3502 (จำได้มั๊ยครับว่าเราจะได้ราคา offer นั่นแปลว่าเมื่อเทียบกับ bid เราจะ -2 นี่คืนส่วนของค่าคอมมิทชั่นของโบรกเกอร์ครับ)

เมื่อเวลาผ่านไป ราคาวิ่งขึ้นไป ที่ 1.3552 หรือขึ้นมา 50 จุด แล้วเราเห็นว่าอาจจะไปต่อไม่ไหว จึงปิดทำกำไรที่ จุดนี้ เราจะได้กำไรมา 50 จุด หรือ 50 pips หรือ 0.0050 หน่วยใน base currency ซึ่งในที่นี้คือ 0.0050 usd น้อยมากใช่ไหมครับ 0.0050 USD = ครึ่งเซ็นต์ หรือประมาณ 17 สตางค์ เท่านั้น นั่นแปลว่าหากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 โอ้ว… ผมเองก็ไม่มีหรอกครับ $10,000

แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ?

จาก ที่เราสั่งซื้อด้วยเงินเพียง $1 ของเราเอง กำไรมันน้อยนิดมาก ขนาด +50 จุดยังทำเงินได้ 17 สตางค์เอง ตรงนี้แหล่ะครับที่ Leverage เข้ามามีผล

Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ครับ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ครับ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะครับ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกครับ

คิดคร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ครับ)นั่นหมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10% และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท

หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์ ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ครับ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน

ลองคิดดูเล่นๆู ล่ะกันครับ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5 เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็หรูแล้วครับ)

ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ผมเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่ผมหลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ผมตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่ผมเทรด

ที่ FxOpen ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เองครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา

Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะครับ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นครับ…

Leverage ที่มากขึ้น ทำให้ใช้ margin น้อยลงครับ เช่น

หากเราสั่งเทรด 1 Lot (บน mt4 จะมีค่าเท่ากับการเทรด Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva)

หากใช้ Leverage 1:100 จะใช้ margin = $1,000 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:200 จะใช้ margin = $500 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:500 จะใช้ margin = $200 โดย 1 pip จะมีค่า = $10

สังเกต นะครับ ผมสั่งเทรดจำนวนเท่ากัน คือ 1 Lot (หรือ Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva ซึ่ง) และ 1 pip นั้น ไม่ว่าจะใช้ Leverage เท่าไหร่ จะมีค่าเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ margin ที่ใช้ลดลง

ข้อดีของ Leverage ที่มากขึ้น คือการได้ใช้ margin ลดลง อาจะทำให้ถือลบ ได้นานอีกหน่อย (ถ้าจะถือจนลบหมดตัว)

แต่ ข้อเสียคือ ถ้ามองถึงการใช้ margin และยังคงดูเรื่อง fund management ที่เราพยายามเทรดไม่เกิน 10% ของทุน การที่ Leverage มากขึ้น เช่น เพิ่มจาก 1:100 ไปเป็น 1:200 แล้วเรายังคงเทรดโดยใช้ margin 10% สิ่งที่จะแตกต่างกันคือ (ถ้าทุน $10,000 เทรด โดยใช้ margin $1,000)

1:100 ต้องสั่งเทรด 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $10 ซึ่งถ้า -900 จุด จะโดน cut loss

แต่

1:200 ต้องสั่งเทรด 2 Lot (หรือ 200,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $20 ซึ่งถ้า -450 จุด จะโดน cut loss
(จริงๆ marketiva สั่งได้มากสุดแค่ 100,000 แต่ e-mail ขอ support เพิ่มเป็น 200,000 ได้)

ซึ่ง ถ้าจะใช้ให้ถูก ถึงเราจะเลือก 1:200 เราก็ควรจะเทรดที่ 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เหมือนเดิม เพื่อที่จะใช้ margin ลดลงเหลือ $500 ซึ่ง 1 pip จะยังคง = $10 และจะโดน cut loss เมื่อ -950 จุด (ยืดมาได้ 50 จุด จากที่ใช้ 1:100 ที่ลบได้แค่ 900 จุด)

ที่มาจาก http://forexbasicstep.com

แจกสดยอด EA PipMakerV5aNeo.mq4‎


พื่อนๆที่ได้เข้ามาสมัคสมาชิคกับบล๊อกของผมมี EA ดีดีมาแจกครับ



EA ตัวนี้ผมขอแนะนำให้ทดสอบกับบัญชีเดโมก่อนนะครับว่าได้ผลไหม

สำหรับผมทดสอบแล้วไช้ได้เลยทีเดียวครับ

แนะนำให้รัน EA ตัวนี้ในวันที่เป็นหุ้นขาขึ้นนะครับ จะได้ผล 70% โดยประมาณ

ทุนก็ 200$ ถือว่าไม่มากไม่น้อย ใช้ได้ตั้งแต่ทามเฟรม 1-15นาทีครับสำหรับโบรก 5 จุด

ผลการทดสอบจากบัญชี DAMO




ใครทดสอบแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไงติชมกันด้วยนะคราบ

ขอให้รวยๆกันทุกท่านครับ

เครื่องมือช่วยในการยืนยัน

เครื่องมือช่วยในการยืนยัน

การวิเคราะห์ Forex ขั้นที่ 5 เครื่องมือช่วยการยืนยัน
เริ่มด้วย Macd เรียกเต็มๆว่า Moving Average Convergent Divergent
Macd สามารถบอกแนวโน้มได้ บอกการเกิด Overbought Oversold
และสามารถหาการการเกิด Divergent
Macd ขอยกให้เป็นราชาแห่ง Indicator ใช้ได้ดีกับทุกช่วงเวลา
(Overbought = อยู่ในสภาพที่มีแรงซื้อมากเกินไป อิ่มตัวขาขึ้น แต่ไม่ใช้หมายความว่าเป็นจังหวะขายเสมอๆไป เพราะการอิ่มตัวขาขึ้นกราฟอาจจะวิ่งต่อได้ )
(Oversold = อยู่ในสภาพที่มีแรงขายมากเกินไป อิ่มตัวขาลง แต่ไม่ใช้หมายความว่าเป็นจังหวะซื้อเสมอๆไป เพราะการอิ่มตัวขาลงกราฟอาจจะวิ่งต่อได้เหมือน )

Macd คือการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใช้หากำลังแนวโน้มของทิศทางว่ามีพลังมาก น้อยแค่ไหน ช่วยในการยืนยันของการมองกราฟอีกชั้นเพื่อความถูกต้องและน่าจะเป็นในทิศทาง ที่่จะเกิดขึ้น

การบอกสัญญาณของ Macd
เส้นน้ำเงินตัดแดงขึ้น คือสัญญาณ ซื้อ
เส้นน้ำเงินตัดแดงลง คือสัญญาณ ขาย
สัญญาณ ที่บอก ซื้อ ที่ชัดเจนขึ้น เมื่อเส้นMacd(น้ำเงินตัดแดงขึ้น) อยู่ต่ำกว่า 0 แล้ววิ่งขึ้นเหนือ 0 ขึ้นไปได้ เป็นสัญญาณที่บอกการ ซื้อ ชัดเจนขึ้น
สัญญาณ ที่บอก ขาย ที่ชัดเจนขึ้น เมื่อเส้นMacd(น้ำเงินตัดแดงลง) อยู่เหนือ 0 แล้ววิ่งลงต่ำกว่า 0 ลงมาไปได้ เป็นสัญญาณที่บอกการ ขาย ชัดเจนขึ้น

ข้อเสียของ Macd
บางครั้งจะให้สัญญาณช้าไป
ไม่เหมาะกับช่วงเกิด Sideway
บางครั้งจะเกิดสัญญาณหลอกเกิดขึ้น
อย่าใช้ Indicator นำการเข้าเทรด ซื้อ ขาย เด็ดขาด (สัญญาณหลอกมีเยอะ)
วิธีใช้ Macd
ให้มอง กราฟเป็นตัวนำเสมอๆ
Macd (เป็นตัวรองเสมอๆ) แค่เป็นตัวช่วยตรวจสอบทิศทาง เพื่อยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง
ควรมองกราฟให้ออกก่อนว่าแนวโน้มไปทิศทางเดียวกับ Macd ถึงจะใช้ Macd ช่วยยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง




Divergence
เกิดจากการขัดแย้งกัน ระหว่างราคาในกราฟ และ Indicators
เครื่องมือที่เหมาะกับการดู Divergence มักนิยมใช้ Macd , Rsi ส่วน stochastic ดูได้เช่นกันแต่มักจะให้สัญญาณหลอกเยอะเกินไป

Bullish Divergence เกิดจากราคาในกราฟ ยังลงต่อ แต่ Macd มีทิศทางขึ้น เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกได้ถึงราคาในกราฟจบขาลงและเตรียมกลับทิศเป็นแนวโน้มขาขึ้น (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่)
Bearish Divergence เกิดจากราคาในกราฟ ยังขึ้นต่อ แต่ Macd มีทิศทางลง เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกได้ถึงราคาในกราฟจบขาขึ้นและเตรียมกลับทิศเป็นแนวโน้มขาลง (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาลงรอบใหม่)


Hidden Bullish Divergence
เกิด จากราคาในกราฟเริ่มมีแนวโน้มจากต่ำไปสูงใหม่(higher low ) แต่ Macd มีทิศทางลงแล้วลงต่อ(lower low) เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกแนวโน้มของกราฟขึ้นต่อ (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่)

Hidden Bearish Divergence
เกิด จากราคาในกราฟเริ่มมีแนวโน้มจากสูงไปต่ำใหม่ (lower high ) แต่ Macd มีทิศทางขึ้นแล้วขึ้นต่อ(higher high) เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกแนวโน้มของกราฟลงต่อ (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาลงรอบใหม่)


Bullish Divergence
Bearish Divergence
สองแบบนี้ บอกถึงการกลับตัวของราคา price reverse

Hidden Bullish Divergence
Hidden Bearish Divergence
สองแบบนี้ บอกถึงการวิ่งไปต่อของแนวโน้ม price follow

ข้อเสียของ Divergence
บางครั้งจะเกิดการหลอก(false)บ่อยเช่นกัน
ไม่ควรใช้เป็นสัญญาณเข้าเทรด ซื้อ ขาย (ควรดูแนวโน้ม ยืนยันความถูกต้องก่อน)

หลักการใช้
ควรดูแนวโน้มของกราฟให้ออกก่อนว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับการเกิด Divergence เพื่อยืนยันความถูกต้อง(ไม่โดนหลอก)
การเกิด double top or double bottom ในกราฟหรือใน Indicators ถือว่าเป็นการเกิดสัญญาณ Divergence เช่นกัน

ดูสัญญาณตามรูปครับในภาพน่าจะมองง่าย







การเกิด Bullish Divergence
Bearish Divergence
มัก จะเกิดให้เห็นเสมอๆในทุกๆช่วงเวลา บอกได้ถึงการกลับตัวมามีแนวโน้มครั้งใหม่อีกครั้งแต่เพื่อความมั่นใจในความ ถูกต้องควรใช้เครื่องมืออย่างอื่นช่วยยืนยันด้วย
จะได้ไม่โดนกราฟหลอกครับและบางครั้งมักจะเกิดช่วงเป็น double top double bottom ให้เห็นด้วยเช่นกัน

ส่วนการเกิด Hidden Bullish Divergence
Hidden Bearish Divergence สองแบบนี้นานๆครั้งถึงจะเกิดให้เห็น








RSI เรียกเต็มๆว่า Relative Strength Index
เป็นเครื่องมือบอกถึงความแข็งแกร่งและบอกการเกิดแนวโน้ม
บอกการเกิด Overbought (อิ่มตัวขาขึ้น) , Oversold (อิ่มตัวขาลง)
บอกการเกิด Divergence ได้เช่นกัน
Rsi เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากเช่นกัน
โดยจะแนะนำให้ใช้ค่าเดิม Rsi(14)

การดูเส้น Rsi ดูที่ระดับ 30 กับ 70
ต่ำกว่าเส้น 30 คืออยู่ในเขต Oversold ช่วงอิ่มตัวขาลงเป็นช่วงแรงขายมาก
แต่บางครั้งถ้าเทรนแนวโน้มยังคงเป็นขาลงก็ยังไม่สามารถซื้อได้ถ้าเทรนยังลงอยู่

เหนือกว่าเส้น 70 คืออยู่ในเขต Overbought ช่วงอิ่มตัวขาขึ้นเป็นช่วงแรงซื้อมาก
แต่บางครั้งถ้าเทรนแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้นก็ยังไม่สามารถขายได้ถ้าเทรนยังขึ้นอยู่


วิธีใช้ Rsi
ให้มอง กราฟเป็นตัวนำเสมอๆ คือมองแนวโน้มให้ออกก่อน (ไม่ควรใช้ตอน Sideway)
Rsi (เป็นตัวรองเสมอๆ) แค่เป็นตัวช่วยตรวจสอบทิศทาง เพื่อยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง
ควรมองกราฟให้ออกก่อนว่าแนวโน้มไปทิศทางเดียวกับ Rsi ถึงจะใช้ Rsi ช่วยยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง

ข้อเสียของ Rsi
ไม่เหมาะกับช่วงเกิด Sideway
บางครั้งจะเกิดสัญญาณหลอกเกิดขึ้น
อย่าใช้ Indicator นำการเข้าเทรด ซื้อ ขาย เด็ดขาด (สัญญาณหลอกมีเยอะ)

ดูตัวอย่างของการใช้Rsi และการเกิด divergence







Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
โดยจะแนะนำ EMA เรียกว่า Exponential Moving Average
โดย เส้น Ema50 ผู้ใช้ได้ทดลองใช้แล้วคิดว่าลงตัวและใช้ได้ดี (ส่วนใครอยากทดลองใช้เส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆก็ได้เช่นกันโดยมองด้วยตาแล้วคิดว่า ลงตัวและเหมาะกับนิสัยที่เราเทรด)
เส้นค่าเฉลี่ยสามารถบอกได้ถึง จุดซื้อ จุดขายของการยืนเหนือเส้นและใต้เส้น
และการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นบอกการซื้อ และ ขาย
สามารถบอกได้ถึงแนวรับ แนวต้าน เมื่อวิ่งมาชนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

โดยจะเริ่มที่เส้น EMA50
วิธีใช้ ยืนเหนือเส้น buy
ยืนใต้เส้น Sell
ช่วงเกิด Sideway เส้น Ema50จะเกิดการหลอก (งดดูช่วงนี้)
ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้ Ema50 ยืนยัน
ข้อเสีย
ยังคงมีสัญญาณหลอกเยอะเช่นกันไม่ควรใช้เป็นตัวนำ
ควรใช้เป็นตัวรองช่วยการยืนยันความถูกต้องจะดีกว่า





จากการใช้เส้น Ema 50 เส้นเดียว
เพื่อการซื้อ การขาย ถูกต้องมากขึ้นก็จะเพิ่มเส้น Ema10(ให้สัญญาณเร็วขึ้น)
โดยเส้น Ema10 ตัด Ema50 ขึ้นได้คือสัญญาณ ซื้อ
Ema10 ตัด Ema50 ลงได้คือสัญญาณ ขาย
ข้อเสีย
มีสัญญาณหลอกช่วง Sideway เยอะเช่นกัน
ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้เส้นค่าเฉลี่ยยืนยันความถูกต้อง

(สามารถใช้เส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆได้เช่นกันต้องทดสอบดูว่าเหมาะกับนิสัยเราแบบไหนในการเข้าเทรด)




ดูระดับเส้นค่าเฉลี่ย Ema
เริ่มจาก ระดับ Ema 5 10 15 20 เป็นเส้นระยะสั้น
ไม่ เหมาะกับการใช้โดดเดี่ยวเพราะสัญญาณหลอกจะเยอะครับ เหมาะกับไว้ใช้เส้นตัดการขึ้น ลง ของเส้นระยะกลาง และระยะยาวมากกว่าเพื่อหาการจังหวะเข้าซื้อ ขาย

ระดับ 50 75 100 เส้นระดับกลาง
ใช้ ได้ดีจุดหลอกจะน้อยลง ดูแนวรับแนวต้านได้เช่นกัน ใช้เส้นเดียวก็ได้ยืนเหนือเส้น ซื้อ ต่ำกว่าเส้น ขาย และเหมาะกับใช้เส้นระยะสั้นผสมยืนยันกัน ซื้อ ขาย

ระดับ 150 200 ระยะยาว
เหมาะ กับการดูเป็นแนวรับ แนวต้านที่แข็งแรงมากกว่าและเหมาะกับเส้นเดียวเพื่อเล่นระยะยาว ยืนเหนือเส้น ซื้อ ต่ำกว่าเส้น ขาย และไว้ตัดกับระยะสั้นช่วยยืนยันได้

เมื่อรู้แล้วว่า เส้นค่าเฉลี่ยจากน้อยไปมาก แบบไหนเหมาะกับเราก็สามารถเอามาต่อยอดกับระบบเราได้
โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวช่วย ยืนยัน ความถูกต้องของทิศทางนั่นๆ
ข้อเสียของ เส้นค่าเฉลี่ยคือ sideway จะเสียหาย
ข้อดี คือ เมื่อเราเลือกเส้นได้เหมาะสมกับค่าเงินสกุลนั่นๆ เมื่อถูกทางจะกำไรสูง
(ได้เป็นรอบๆของการจบการขึ้น การลง)









ทดลองนำเอาเครื่องมือมาร่วมกับ
Macd กับ Ema50
Macd กับ ema50 ตัดกับ ema10
Rsi กับ Ema50
เพื่อยืนยันความถูกต้องของทิศทางได้ดีขึ้น
หลักการ ต้องมองหาแนวโน้มก่อนเสมอๆ แล้วจึงใช้เครื่องมือช่วยยืนยัน
ข้อเสีย sideway (สัญญาณหลอกบ่อย)
(เมื่อ รู้แล้วว่า เครื่องมือหลายๆแบบสามารถให้สัญญาณได้ดีช่วงมีแนวโน้ม นักลงทุนก็สามารถเอาไปประยุกต์ตามนิสัยการเทรดของตัวเองให้มั่นใจมากขึ้น)




เริ่มต่อยอดโดย Rsi เส้นเดียวเราจะเพิ่มลูกเล่นโดยการใส่เส้น Ema เข้าไปเพิ่มเพื่อช่วยยืนยันการขึ้น การลง
โดย เส้น Rsi ตัดเส้น Ema ขึ้นไปคือสัญญาณ ซื้อ
เส้น Rsi ตัดเส้น Ema ลงมาคือสัญญาณ ขาย
โดยก็ต้องมองพื้นฐานด้วยเช่นกันว่าแนวโน้มเป็นยังไง เดินทิศทางเดียวกับ เครื่องมือนี้รึเปล่าเพื่อยืนยันการถูกต้อง
จุดอ่อนของ เครื่องมือนี้คือ การ sideway




เครื่องมือที่ช่วยหาเป้าหมาย Fibonacci Retracement
โดยสามารถบอกได้ถึงระดับช่วงพักตัวและการหาเป้าหมาย

โดยจะแบ่งเป็นช่วงๆได้ดังนี้
ช่วง จุดพักตัว ระดับของ Fibonacci มักจะอยู่แถวๆระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 ทั้ง 5 ระดับนี้มักจะเป็นจุดแนวรับ แนวต้านที่ดีของการพักตัว(ทั้งระดับขาขึ้นและขาลง)

Fibonacci ใช้หาเป้าหมายในอนาคตนั่นมักจะอยู่แถวๆระดับ 161.8 261.8 423.6 เสมอๆ

ผมได้ทดลองใช้มานานพอสมควร จึงแนะนำว่า มีแค่สองหลักง่ายๆแค่นี้ครับ มองระดับการพักตัว และมองหาเป้าหมายตามที่บอก

วิธีการลาก Fibonacci Retracement
หาแนวโน้มขาลงให้ลากจาก ต่ำสุดไปหาสูงสุดของแนวโน้มอดีต(ที่จบแนวโน้มนั่นแล้ว)

หาแนวโน้มขาขึ้นให้ลากจาก สูงสุดลงมาต่ำสุดของแนวโน้มอดีต(ที่จบแนวโน้มนั่นแล้ว)





การลากเมื่อพักตัวในระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 เป็นระดับทดสอบ เมื่อผ่านไปได้ก็จะสามารถเห็นเป้าหมายที่ระดับ 161.8
การพักตัวของแนวโน้มนั่นๆบอกได้ถึงการพักตัว(สะสมแรง)แล้วดีดไปต่อ



การหาการพักตัวและเป้าหมายขาขึ้น

หลักการต้องหมดหลุดแนวโน้มรอบนั่นๆก่อนถึงจะเริ่มลากเพื่อหาเป้าหมาย






การหาการพักตัวและเป้าหมายขาลง

หลักการต้องหมดหลุดแนวโน้มรอบนั่นๆก่อนถึงจะเริ่มลากเพื่อหาเป้าหมาย






Fibonacci Retracement นั่นสำหรับมือใหม่อาจจะงงว่าจะลากใหญ่แค่ไหน รอบประมาณไหน ลากแบบใหญ่ ลากแบบกลางๆ ลากแบบเล็ก ทุกแบบบางคนจะลากต่างกัน(ลากๆไปบ่อยๆครับเอาที่จบการขึ้นลงของเก่าแล้ว) สิ่งที่สำคัญคือ ระดับตัวเลขในกรอบนั่น อย่างที่บอกจุดพักตัวมักจะเกิดที่ระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 จุดเป้าหมายมักจะได้เห็นที่ 161.8 261.8 423.6 เสมอๆ

จะ ให้ตัวเลข Fibonacci ที่มีนัยสำคัญได้และแม่นยำต้องหมดการจบเทรนรอบเก่าแล้วจึงลาก พูดง่ายๆคือจบการขึ้นกราฟกำลังจะลงก็ลากของการขึ้นเพื่อดูตัวเลขตามระดับ ต่างๆของการลง จบการลงแล้วกราฟกำลังขึ้นก็ลากการลงเพื่อดูตัวเลขตามระดับต่างๆของการขึ้น